การอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์เราต่างต้องใช้การสื่อสาร โดยการสื่อสารก็จะแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการสื่อสารผ่านทางคำพูด ผ่านทางการสัมผัสร่างกาย หรือจะผ่านทางสายตาเองก็มีเช่นกัน และเช่นเดียวกับสุนัขของเรา คุณรู้หรือไม่ว่าเจ้าตูบของคุณนั้นมีภาษาที่ใช้สื่อสารกับผู้เลี้ยงด้วยนะ โดยภาษาเหล่านั้นจะแสดงผ่านการกระทำ สีหน้า หรือแม้กระทั่งแววตาแบบมนุษย์เลย และวันนี้ petsayhai.com จะมาพร้อมกับเทคนิคการดูว่าสุนัขของเรานั้นกำลังคิดอะไร หรืออยากจะบอกอะไรเราบ้าง หากพร้อมแล้วไปดูกันเลย
จุดสังเกตที่ 1 สังเกตพฤติกรรมผ่านทางหางของน้องหมา
หางของสุนัข คือสิ่งที่สามารถบอกเราได้ว่าลักษณะอารมณ์ของสุนัขตอนนั้นเป็นอย่างไร วิธีนี้ถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย และถูกยอมรับกันว่าเป็นการดูที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะลักษณะจะอยู่ที่การเคลื่อนไหวของหาง ที่จะเป็นตัวบอกว่าสุนัขของเรากำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอะไรอยู่โดยเราสามารถแบ่งพฤติติกรรมของหางสุนัขได้ 3 ประเภทดังนี้
1. ส่ายหาง กระดิกหางไปมา
พฤติกรรมนี้จะเป็นสัญญาณที่จะบ่งบอกให้มนุษย์นั้นรู้ว่า น้องกำลังมีความรู้สึกแบบสุดๆ ในด้านใดด้านหนึ่งอยู่ หากน้องเป็นสุนัขตัวเล็ก อาจจะหมายถึงน้องกำลังอยากเล่นแบบสุดๆ ตื่นเต้นแบบสุดๆ แต่หากเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่ดุหน่อย แนะนำให้ผู้เลี้ยงระวัง เพราะอาจจะเกิดการปะทะขึ้นในเวลาไม่นานต่อจากนี้ เพราะการกระดิกหาง สั่นหาง อาจหมายถึงการเตรียมจู่โจมนั่นเอง
2. หางตกลงพื้น ชี้ลงแนวดิ่ง
พฤติกรรมนี้จะบ่งชี้ว่าน้องกำลังมีความสนใจในบางสิ่งบางอย่างอยู่ หรืออาจจะกำลังรู้สึกแปลกใหม่ เราเรียกพฤติกรรมนี้ว่า พฤติกรรมแห่งการเรียนรู้ สุนัขของเราจะจดจ่อ แล้วตั้งใจ เพราะเกิดความสงสัยในบางสิ่งอยู่ ผู้เลี้ยงอาจเข้าไปเล่นกันน้องได้ แต่อย่าทำให้น้องตกใจ เพราะอาจจะกลัวฝังใจไปเลยก็ได้เช่นกัน
3. หางม้วนเข้าไปใต้ท้อง หรือหางจุกตูด
พฤติกรรมนี้เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ ความกลัว และการยอมแพ้ สุนัขของเราจะแสดงพฤติกรรมนี้ออกมาเมื่อกลัว ส่วนใหญ่น้องจะค่อยๆ ออกไปจากสถานการณ์แบบนี้ แต่หากคุณเข้าไปแสดงพฤติกรรมที่น้องกลัวใกล้ๆ ในขณะที่หางม้วน น้องก็อาจจะมีการต่อสู้หรือขู่เพื่อปกป้องตัวเองเช่นกัน
จุดสังเกตที่ 2 จะรู้ได้อย่างไรว่าน้องอยากขับถ่าย
การขับถ่ายถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะกับสิ่งมีชีวิตไหนๆ ก็ตาม เพราะหากไม่ขับถ่ายก็อาจจะตามมาด้วยโรคต่างๆมากมาย โดยเฉพาะกับสุนัขของเรา แต่เราจะรู้ได้อย่างไรละ ว่าสุนัขของเรากำลังอยากขับถ่าย แน่นอนว่าหากเลี้ยงในบ้าน เราจะต้องพาน้องออกไปทำธุระ ไม่อย่างนั้นบ้านได้เลอะแน่นอน โดยให้เราสังเกตพฤติกรรมของสุนัขว่ามีการ เดินวนไปตามซอก หรือมุมต่างๆ เละมีลักษณะเป็นวงกลม นั่นหมายความว่าสุนัขของคุณเริ่มอยากออกไปขับถ่ายแล้ว
จุดสังเกตที่ 3 รู้ไหมว่าน้องหมาบอกรักเราได้ด้วยนะ
อีกหนึ่งเรื่องราวที่เชื่อว่าผู้เลี้ยงหลายคนคงกำลังอยากฟัง นั่นคือภาษารักนั่นเอง น้องหมาก็มีภาษารักที่คอยบอกเจ้าของ แต่คุณอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีแบบไหนบ้าง ซึ่งผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษารักของน้องหมาให้มากขึ้นกัน โดยภาษาที่ดูง่ายที่สุดคือการนอนหงายท้อง น้องหมาจะหวงท้อง เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่หากน้องหมานอนหงายให้คุณเมื่อไหร่ นั่นเป็นสัญญาณบอกว่า เราไว้ใจนายในมนุษย์ ต่อมาคือการกระโดดเกาะ เอาขาค้ำ หมายความว่าน้องหมากำลังอยากเล่นกับคุณนั่นเอง แต่ท่านี้หลายคนมักตีความผิดว่าน้องหมากำลังจะจู่โจม ให้สังเกตง่ายๆหากน้องกระโดดเอาขามาพาดตัวเรา นั่นคือมาเล่นกันเถอะมนุษย์ และยังมีภาษาอื่นๆอีกมากมายอย่างการเลียมือ การยกก้นและกระดิกหายไปมา หรือการยืดเหยียดตัว พฤติกรรมเหล่านี้เองก็หมายถึงการแสดงออกถึงความไว้ใจ ความรัก
จุดสังเกตที่ 4 อย่าแสดงออกด้วยพฤติกรรมเหล่านี้หากคุณไม่อยากมีปัญหากับน้องหมา
ถึงแม้น้องหมาจะมีพฤติกรรมต่างๆที่ทำให้มนุษย์เห็น และแสดงออกถึงความต้องการ แต่ก็มีพฤติกรรมบางอย่างที่คุณต้องพึงระวังอย่าทำเด็ดขาด เพราะความหมายไม่เหมือนที่คุณคิด
1.อย่ามองตาน้องตรงๆ
การมองตาคือหนึ่งในรูปแบบการสื่อสารที่มนุษย์ใช้กัน แต่สำหรับน้องหมาการมองตาคือการท้าทาย อย่าทำเด็ดขาด ถ้าคุณยังไม่อยากมีความบาดหมางใจกับสุนัขของคุณ
2.อย่าโน้มตัวหาน้องหมาเร็วเกินไป
การโน้มตัวเข้าไปลูบหัวน้องหมา หากคุณทำเร็วเกินไป จะส่งผลให้น้องหมาเข้าใจว่าการเข้าหานั้นคือการจู่โจม น้องหมาจะกระโดดหนี หรือไม่อาจจะจู่โจมคุณก่อนก็ได้
3.ยิ้มเห็นฟันคือการขู่
เวลาเรามีความสุขเรามักจะยิ้ม เพื่อแสดงออกถึงความพึงพอใจ และความสุข แต่น้องหมาไม่คิดแบบนั้น เพราะการยิ้มแบบเห็นฟันคือการขู่ ฉะนั้นผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้อ่านยิ้มกับน้องหมาอย่างระมัดระวัง หรือจะยิ้มแบบ อรุ่มเจาะก็ได้เช่นกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 4 จุดสังเกตที่คุณต้องรู้หากอยากเลี้ยงสุนัข เชื่อว่าหลายคนที่เลี้ยงสุนัขมาก็คงเห็นพฤติกรรมเหล่านี้กันจนชินตา และยังมีอีกมากมายที่คุณจะต้องศึกษา แต่พฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่ได้ตีความตามที่ผู้เขียนนำเสนอไป 100% ขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมาย แต่การรู้สิ่งเหล่านี้ไว้คือการเตรียมตัวก่อนเลี้ยงนั่นเอง