อย่างที่เหล่าทาสแมวอย่างเรารู้ดีว่าเจ้าเหมียวนั้นสามารถป่วยได้ง่าย ฉะนั้นการดูแลเจ้าเหมียวให้มีร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอเพื่อให้เจ้าเหมียวที่รักอยู่กับเราไปนานๆ จึงทำให้สิ่งนี้คือภารกิจหลักของเราเลยก็ว่าได้ และในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงโรคที่เกิดจากเนื้องอกในแมวที่สามารถพบได้
ซึ่งโรคที่เกิดจากเนื้องอกนี้เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีความผิดปกติที่ไม่หยุดการเจริญเติบโต จนทำให้เกิดเป็นก้อนเนื้อขึ้นตามส่วนต่างๆ ขอร่างกาย จากนั้นก็ลุกลามไปยังส่วนต่างๆ เช่น อวัยวะที่ใกล้เคียง ระบบน้ำเหลือ และเลือด แต่ก็มีเนื้องอกบางชนิดเช่นกันที่ไม่ลุกลามซึ่งเรียกว่า Benign Tumor และมีหลากหลายอาการที่พบในเจ้าเหมียว ดังนี้
1. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphosarcoma หรือ Lymphocyte)
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนี้เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ซึ่งโรคนี้สามารถพบได้มากในแมวที่เป็นโรคลิวคีเมียในช่วงอายุ 3 ขึ้นไปเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง และสามารถพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ช่วงอายุเฉลี่ย 8 ปี ซึ่งแต่ละช่วงก็จะมีอาการที่แตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มะเร็งลุกลามไปถึงขณะนั้น และสามารถแบ่งได้ดังนี้
– แมวที่เป็นมะเร็งที่ช่องอกในต่อมไทมัสจะทำให้แมวหายใจลำบาก โดยต้องอ้าปากเพื่อหายใจ และมีอาการไอร่วมด้วย
– แมวที่เป็นโรคที่ทางเดินอาหาร จะทำให้ผนังลำไส้หนาตัว และส่งผลให้เจ้าเหมียวมีอาการอาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย และเมื่ออาการหนักขึ้นก็จะถ่ายเป็นเลือดสดหรือเลือดสีดำ
– มะเร็งที่ไตจะทำให้ไตมีขนาดที่ขยายขึ้นและมีผิวหนังที่ไม่เรียบ และมีอาการโรคไตวาย เช่น อาการซึม อาเจียน การเบื่ออาหาร ดื่มน้ำเยอะและปัสสาวะเยอะด้วยเช่นกัน
– มะเร็งกระจายหลายตำแหน่งจะมีอาการที่ไม่แน่นอน เช่น อาจจะเบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการซึม และทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตที่ร่างกาย
– แมวที่เป็นมะเร็งก้อนเดียว โรคนี้จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พบว่าก้อนอยู่บริเวณใด เช่น หากพบในจมูก แมวก็จะมีอาการจามบ่อย น้ำมูกไหล แต่หากพบในไขสันหลังก็จำสามารถทำให้แมวเป็นอัมพาตได้ หรือสามารถพบเห็นก้อนเดี่ยวที่ผิวหนังก็ได้เช่นกัน
การรักษา: หากพบสิ่งผิดปกติควรพาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์ทันทีเพื่อการรักษาที่ทันเวลา จากนั้นในการรักษาจะใช้เคมีบำบัดและสเตียรอยด์เพียงหนึ่งชนิดหรืออาจใช้เคมีหลายตัวเพื่อบำบัดร่วมกันก็ได้เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะการลุกลามของเนื้องอกและบริเวณอวัยวะที่พบเนื้องอกด้วยเช่นกัน
2. มะเร็งเต้านม (Mammary Gland Tumor)
โรคมะเร็งเต้านมถือเป็นโรคร้ายของแมวเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันมีโอกาสที่จะลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงและอวัยวะอื่นๆ สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว โดยอาจจะกระจายไปยังที่ต่อมน้ำเหลือง ปอด และตับ ซึ่งโรคนี้สามารถพบได้มากทั้งในแมวบ้านขนสั้นและแมวไทย
การรักษา: ในการรักษาจะทำด้วยการผ่าร่วมกับการทำเคมีบำบัดร่วมกัน โดยในการผ่าตัดนั้นก็จะระดับในการผ่าตัดที่ส่งผลถึงอายุที่เจ้าเหมียวนั้นจะมีโอกาสรอดด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกไปดังนี้คือ หากมีการผ่าตัดก้อนเนื้อออกเป็นบริเวณกว้างแบบออกหมดเรียบร้อย ภายใน 575 วันหลังจากการผ่าตัดแล้วจะตรวจไม่พบเนื้องอกจะช่วยให้เจ้าเหมียวมีชีวิตอยู่รอดถึง 800 วัน
และหากผ่าเฉพาะก้อนเนื้องอกออกแต่ไม่ได้ตัดเนื้อในบริเวณใกล้เคียงออก แล้วหลังจากผ่าตัด 325 วันแล้วตรวจไม่พบมะเร็ง จะช่วยให้แมวมีชีวิตที่นานขึ้นถึง 500 วัน แต่หากก้อนมะเร็งมีขนาดที่ใหญ่กว่า 3 เซนติเมตร แมวจะมีชีวิตรอดหลังผ่าตัดอยู่ที่ 6 เดือน แต่กลับกันหากมีขนาดที่เล็กกว่า 2 เซนติเมตรจะทำให้แมวมีโอกาสรอดชีวิตถึง 3 ปีเลยทีเดียว
3. มะเร็งผิวหนัง (Squamous Cell Carcinoma)
โรคมะเร็งผิวหนังนี้มักพบในช่องปากและสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงได้ง่ายไม่ว่าจะเป็น ดั้งจมูกและปลายหู หรือกระจายตามผิวหนังส่วนอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นผื่น บวมแดง มีน้ำเหลืองเยิ้ม หรือมีสะเก็ด เช่นหากแมวตากแดดและได้รับรังสียูวีที่มากจนเกินไป ก็อาจทำให้เกิดมะเร็งบริเวณที่ดั้งจมูกหรือปลายหู แต่สำหรับมะเร็งที่ใบหูมักจะพบในแมวที่มีขนสีขาวหรือผิวที่สีอ่อน
การรักษา: สามารถทำได้ด้วยผ่าตัดเช่นกัน แต่ก็มีกรณีที่ไม่สามารถผัดตัดได้เช่นกันซึ่งในกรณีนี้จะใช้การฉายแสงซ้ำแทน และสำหรับแมวที่เป็นมะเร็งที่บริเวณช่องปากที่เกิดขึ้นที่ผิวหนังและสามารถตรวจพบได้ไวก็จะทำให้แมวจะมีอัตราเฉลี่ยในการรอดชีวิตภายใน 6 เดือนและส่งผลให้หลังจากผ่าตัดเสร็จก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ ฉะนั้นข้อควรระวังคือไม่ควรให้เจ้าเหมียวตากแดดเป็นเวลานานจนเกินไปซึ่งจะเป็นทางที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังได้
มะเร็งที่ผมได้ยกตัวอย่างมาข้างต้นในบทความนี้โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเจ้าเหมียวสูงวัย แต่ในขณะเดียวกันโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเจ้าเหมียวที่มีอายุน้อยด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้ได้หากเราเลี้ยงเจ้าเหมียวแบบปิดโดยให้อยู่ภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะเป็นการเลี่ยงที่จะอยู่ใต้แสงแดดนานแล้ว ยังช่วยป้องกันให้เจ้าเหมียวของเราไม่ให้สัมผัสกับแมวตัวอื่นได้ เช่น การโดนกัด การคลุกคลีกับแมวตัวอื่นแปลกหน้า แม้แต่การแสดงความรักผ่านการเลียขนให้แมวอีกตัวด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นในการเลี้ยงดูเจ้าเหมียวนั้นการเอาใจใส่เขา หาที่อยู่ที่นอนหรือที่ขับถ่ายให้เขาเท่านั้นไม่พอ และผมเชื่อว่าทาสแมวอย่างเราทุกคนต้องอยากให้เจ้านายของเรามีอายุที่ยืนนานอย่างแน่นอน ฉะนั้นการดูแลให้เขามีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากมาอันดับแรกเลยก็ว่าได้